Mahachai Prompathya Hospital
บริการ
ข้อมูลสุขภาพ
เกี่ยวกับเรา
ติดต่อเรา
เข้าสู่ระบบ

โรคมือ เท้า ปาก รับมืออย่างไรดี?

โรคมือ เท้า ปาก หรือ Hand, Foot, and Mouth Disease (HFMD) คือโรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัส Human enteroviruses ผ่านการสัมผัสกับน้ำลาย น้ำมูก ตุ่มน้ำใส หรือผื่นบริเวณผิวหนังของผู้ที่เป็นโรค โรคมือเท้าปาก เป็นโรคที่พบได้บ่อยในเด็กทารก เด็กเล็ก หรือเด็กในวัยเรียนที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี จึงมักพบการระบาดในโรงเรียน หรือสถานรับเลี้ยงเด็ก โดยจะมีการระบาดอย่างมากในช่วงฤดูฝนที่มีอากาศเย็น และอากาศชื้น ทำให้เชื้อยิ่งแพร่กระจายได้รวดเร็ว และเป็นพาหะในการแพร่เชื้อสู่ผู้อื่นต่อไปได้อีกนานหลายสัปดาห์แม้ว่าผื่นจากโรคมือ เท้า ปาก จะหายไปแล้วก็ตาม อาการโรคมือ เท้า ปาก เป็นอย่างไร โรคมือ เท้า ปาก มีอาการเริ่มต้นโดยที่เด็ก ๆ เริ่มมีอาการไข้ เจ็บคอ ไม่อยากอาหาร และเริ่มงอแง โรคมือ เท้า ปาก ในเด็ก ช่วงหน้าฝน มีระยะฟักตัวอยู่ที่ 3-6 วันตามมาด้วยการมีไข้ 1-2 วัน และเริ่มปรากฎตุ่มน้ำใสด้านหน้าของปากและลําคอ มีผื่นแต่ไม่คัน และอาจมีตุ่มน้ำใส หรือตุ่มนูนเล็ก ๆ บนฝ่ามือ ฝ่าเท้า หรือผื่นบริเวณก้น ในบางรายอาจมีอาการทุกอาการดังที่กล่าวมา ในขณะที่บางรายอาจมีอาการเพียง 2-3 อาการ โดยปกติอาการของโรคมือเท้าปากมักไม่รุนแรง และสามารถหายได้เองภายใน 7-10 วัน เด็กที่ป่วยด้วยโรคมือ เท้า ปากบางรายอาจมีไข้สูงเฉียบพลัน และมีตุ่มน้ำใสที่ด้านหลังของปากและลําคอ ซึ่งอาจเป็นโรคเฮอร์แองจินา (Herpangina) ซึ่งเป็นโรคไวรัสในกลุ่มเดียวกันกับไวรัสโรคมือ เท้า ปากในเด็ก โดยเด็กบางรายอาจมีอาการชัก และมีตุ่มน้ำใสที่มือ เท้า หรือส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ควรพบแพทย์เมื่อใด ควรไปพบแพทย์ทันทีหากเด็กอายุน้อยกว่า 6 เดือน หรือเมื่อเด็กไม่ยอมรับประทานน้ำหรืออาหารเพราะอาจทําให้ร่างกายขาดน้ำได้ หากมีอาการนานกว่า 10 วันควรปรึกษาแพทย์ รคมือ เท้า ปาก เกิดจากอะไร เชื้อ coxsackievirus 16 ซึ่งเป็นไวรัสชนิดหนึ่งในกลุ่ม nonpolio enteroviruses เป็นสาเหตุหลักของโรคมือเท้าปาก อย่างไรก็ตามไวรัส enterovirus ชนิดอื่นสามารถทำให้เกิดโรคได้เช่นกัน โรคมือเท้าปากติดต่อจากคนสู่คน ผ่านการสัมผัสกับน้ำลาย น้ำมูก ละอองฝอยจากการไอหรือจาม ของเหลวจากตุ่มพอง หรืออุจจาระของผู้ติดเชื้อ ปัจจัยเสี่ยง วัยเด็ก ทุกคนสามารถติดเชื้อโรคมือเท้าปากได้ แต่ส่วนใหญ่แล้วเด็กที่อายุน้อยกว่า 5-7 ปีมักได้รับผลกระทบจากโรคนี้ เนื่องจากโรคนี้ติดต่อได้ง่ายจากการสัมผัสผู้ป่วย เด็กในสถานรับเลี้ยงเด็ก ซึ่งมีความใกล้ชิดกันจึงติดเชื้อได้ง่าย ส่วนเด็กโตและผู้ใหญ่สามารถพัฒนาภูมิคุ้มกันโรคหลังได้รับเชื้อ ภาวะแทรกซ้อน อาการของโรคมือเท้าปากมักไม่รุนแรง หายได้เอง อย่างไรก็ตาม บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ดังนี้ ภาวะขาดน้ำ เด็กที่ป่วยมักจะดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้น้อยลงเนื่องจากแผลในปาก หากไม่รับประทานอะไรได้เลย แพทย์อาจแนะนําให้พักรักษาตัวในโรงพยาบาลเพื่อรับน้ำเกลือ เยื่อหุ้มสมองอักเสบจากไวรัส หากเชื้อ enterovirus เข้าสู่สมองอาจทําให้เกิดเยื่อหุ้มสมองและน้ำไขสันหลังรอบสมองและไขสันหลังอักเสบได้ อย่างไรก็ตามอาการนี้มักพบได้น้อย โรคไข้สมองอักเสบ เป็นอาการอักเสบของสมองที่พบได้น้อย แต่รุนแรงและเป็นอันตรายถึงชีวิต การป้องกันโรคมือ เท้า ปาก ล้างมือด้วยสบู่ก่อนรับประทานอาหารหรือเตรียมอาหาร ทําความสะอาดมือให้สะอาดหลังการจาม ไอ เปลี่ยนผ้าอ้อมเด็ก หรือใช้ห้องน้ำ ทําความสะอาดของเล่นและพื้นผิวสัมผัสร่วมที่คนใช้บ่อย ๆ เช่น ลูกบิดประตู สอนวิธีการล้างมืออย่างถูกต้องให้กับเด็ก ๆ อธิบายและเตือนว่าไม่ควรเอานิ้ว ของเล่น หรือวัตถุอื่น ๆ เข้าปาก หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับผู้ป่วยโดยตรง งดไปสถานรับเลี้ยงเด็กหากลูกป่วย การตรวจวินิจฉัยโรคมือ เท้า ปาก แพทย์จะถามอายุของเด็ก และประเมินอาการ แผลในปากว่าเกิดจากโรคมือเท้าปากหรือการติดเชื้อไวรัสอื่น ๆ แพทย์อาจให้เก็บเชื้อที่คอหรืออุจจาระไปตรวจเพื่อตรวจสอบชนิดของไวรัส การรักษาโรคมือ เท้า ปาก ปัจจุบันยังไม่มียารักษาโรคมือเท้าปากโดยเฉพาะ โดยปกติโรคจะหายเองภายใน 7-10 วัน อย่างไรก็ตามสามารถบรรเทาความรุนแรงได้ด้วยการใช้ยาชาในช่องปากเฉพาะที่ ยา acetaminophen หรือ ibuprofen การดูแลรักษาตัวที่บ้าน เนื่องจากความเจ็บปวดที่เกิดจากตุ่มพองในปากและลําคออาจทำให้เด็กไม่อยากอาหาร คุณพ่อคุณแม่สามารถปฏิบัติตามคําแนะนําด้านล่างเพื่อกระตุ้นให้เด็ก ๆ รับประทานอาหารได้มากขึ้นและบรรเทาอาการเจ็บปวดภายในช่องปาก บ้วนปากด้วยน้ำเกลือเพื่อบรรเทาอาการอักเสบและความเจ็บปวด งดรับประทานผลไม้รสเปรี้ยว น้ำผลไม้ หรือโซดาเนื่องจากมีกรด ซึ่งอาจสร้างความระคายเคืองภายในช่องปาก ให้รับประทานของเย็น ๆ เช่น ไอติมแท่ง น้ำแข็ง ไอศกรีม และโยเกิร์ตเพื่อบรรเทาความเจ็บปวด จิบน้ำเย็น รับประทานอาหารอ่อน ๆ หากเคี้ยวไม่ไหว

โรคมือ เท้า ปาก รับมืออย่างไรดี?

แผลเล็ก เจ็บน้อย กลับบ้านเร็ว ด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง หรือ Minimally Invasive Surgery (MIS)

การผ่าตัดส่องกล้อง หรือ Minimally Invasive Surgery (MIS) คืออะไร ผ่าตัดแบบส่องกล้อง เป็นการผ่าตัดโดยการเจาะผ่านช่องท้องและสอดอุปกรณ์ผ่าตัด มีกล้องขนาดเล็กเข้าไปเพื่อบันทึกภาพและส่งมายังจอรับซึ่งทำหน้าที่แทนตาของศัลยแพทย์ รวมไปถึงใส่อุปกรณ์แทนมือของศัลยแพทย์ หรือแขนกลของหุ่นยนต์ มีข้อดีคือ แพทย์มองเห็นรายละเอียดของตำแหน่งที่ต้องการผ่าตัดได้ชัดเจนด้วยกำลังขยายของกล้อง ทำให้ผ่าตัดได้ตรงจุดจึงลดการกระทบต่ออวัยวะอื่นๆ ทำให้การผ่าตัดสะดวกขึ้นไม่จำเป็นต้องเปิดแผลยาว เจ็บปวดหลังผ่าตัดน้อยกว่า เสียเลือดน้อยกว่า ฟื้นตัวใช้เวลาน้อยกว่า แต่มีข้อด้อยกว่าการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้องคือระยะเวลาผ่าตัดนานกว่า ค่าใช้จ่ายในการผ่าตัดสูงกว่า เนื่องจากต้องใช้อุปกรณ์พิเศษ ต้องอาศัยความชำนาญของทีมแพทย์ ทีมพยาบาลผู้ช่วยผ่าตัด ใครบ้างเหมาะกับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง (MIS) ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถได้รับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง ซึ่งเป็นตัวเลือกแรกที่ได้รับความนิยม แต่มีข้อจำกัด เช่น ถ้าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ที่มีขนาดใหญ่หรือมีการลุกลามติดอวัยวะข้างเคียงมาก อาจไม่เหมาะในการผ่าตัดส่องกล้อง และไม่สามารถใช้วิธีนี้กับผู้ป่วยในบางราย เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคปอดและหัวใจขั้นรุนแรง หรือผู้ที่เคยผ่าตัดและมีพังผืดในท้องมาก การผ่าตัดแบบส่องกล้อง เจ็บปวดหรือไม่ การผ่าตัดทั้งหมดทำให้มีความเจ็บปวด แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบการผ่าตัดแบบส่องกล้อง กับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดแบบส่องกล้อง จะรู้สึกปวดทั้งในระยะสั้นและระยะยาวน้อยกว่ามาก เนื่องจากแผลที่ผ่าตัดมีขนาดเล็ก ระยะพักฟื้นนานแค่ไหน? แต่ละกรณีแตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น การผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ ผู้ป่วยจะใช้เวลาฟื้นตัวสั้นมากและไม่เจ็บปวด แต่ถ้าโรคมะเร็งลำไส้ก็จะใช้เวลานานกว่า แต่ในเกือบทุกกรณี ระยะพักฟื้นและความเจ็บปวดสำหรับการผ่าตัดส่องกล้องนั้นน้อยกว่ามากเมื่อเทียบกับการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง อัตราความสำเร็จและภาวะแทรกซ้อนเป็นอย่างไร เมื่อเทียบกับผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง การผ่าตัดแบบส่องกล้องมีอัตราความสำเร็จสูงมากและมีความเสี่ยงต่ำที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อน อัตราการครองเตียงน้อยกว่า ลดการเกิดภาวะแทรกซ้อน และโรคแทรกซ้อนต่างๆ จากการนอนบนเตียงนานๆ เช่น การมีหลอดเลือดอุดตันที่ขา การติดเชื้อในทางเดินหายใจ เป็นต้น ทำให้ไม่ต้องชะลอเวลาก่อนที่จะเริ่มการรักษาด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี ลดการเกิดพังผืดในช่องท้องจากการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ที่สำคัญอัตราการรอดชีพเทียบเท่ากับการผ่าตัดเปิดหน้าท้อง การผ่าตัดส่องกล้องที่ โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ มีบริการดังนี้ ผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบผ่านกล้อง ผ่าตัดไส้เลื่อนขาหนีบผ่านกล้อง ผ่าตัดไส้เลื่อนหน้าท้องผ่านกล้อง ผ่าตัดมะเร็งลำไส้ใหญ่ผ่านกล้อง ผ่าตัดถุงน้ำดีผ่านกล้อง

แผลเล็ก เจ็บน้อย กลับบ้านเร็ว ด้วยการผ่าตัดส่องกล้อง หรือ Minimally Invasive Surgery (MIS)

มะเร็งเต้านม ภัยเงียบที่ต้องระวัง

• มะเร็งเต้านมเกิดเนื่องการแบ่งตัวผิดปกติของเซลล์ท่อน้ำนมหรือต่อมน้ำนมทำให้เกิดเป็นก้อนเนื้องอก โดยหากไม่ได้รับการรักษา มะเร็งจะโตขึ้นและกระจายไปที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ ก่อนที่จะกระจายไปอวัยวะอื่นๆ เช่น ปอด ตับ สมอง กระดูก จนเป็นสาเหตุให้ผู้ป่วยเสียชีวิต สำหรับประเทศไทยนั้นข้อมูลจาก Globocan ปี 2020 มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยมากที่สุดในเพศหญิง (22.8%) ตามมาด้วยมะเร็งลำไส้ (10.7%) และมะเร็งปากมดลูก (9.4%) ตามลำดับ ปัจจัยเสี่ยง • เพศหญิง (มีโอกาสพบในเพศชายเพียง 1% ของมะเร็งเต้านมทั้งหมด) • อายุที่มากขึ้น (เริ่มพบได้บ่อยตั้งแต่อายุ 40-50 ปี) • ผู้หญิงวัยหมดประจำเดือนที่กินยาฮอร์โมนทดแทน • การมีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ เนื่องจากอาจสัมพันธ์กับมะเร็งเต้านมชนิดที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรม ซึ่งพบได้ อาการของมะเร็งเต้านม • คลำพบก้อนที่เต้านม (90%) • ความผิดปกติของหัวนม ได้แก่ มีการดึงรั้งจนหัวนมบุ๋มลง มีน้ำเหลือง/เลือดออกทางหัวนม • คลำพบต่อมน้ำเหลืองใต้รักแร้ (5-10%) ดังนั้นหากคลำพบก้อนที่เต้านมหรือรักแร้ แม้ว่าจะไม่มีอาการปวด ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อรีบวินิจฉัยสาเหตุ ระยะของโรคมะเร็งเต้านม • ระยะที่ 1: ก้อนมะเร็งเต้านมขนาดไม่เกิน 2 cm และยังไม่มีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ • ระยะที่ 2: ก้อนมะเร็งเต้านม 2-5 cm หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ • ระยะที่ 3: ก้อนมะเร็งที่ลุกลามมาถึงผนังหน้าอก หรือมีการแตกเป็นแผล หรือมีการกระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่รักแร้ขนาดใหญ่ • ระยะที่ 4: มีการกระจายของมะเร็งออกไปนอกเต้านมและต่อมน้ำเหลืองบริเวณใกล้เคียงแล้ว ได้แก่ การกระจายไป ปอด ตับ สมอง กระดูก การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม เนื่องจากมะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบได้บ่อยในเพศหญิง และเป็นหนึ่งในมะเร็งไม่กี่ชนิดที่สามารถตรวจคลำได้ด้วยมือจากภายนอก ข้อมูลในปัจจุบันพบว่าการตรวจพบมะเร็งเต้านมตั้งแต่ระยะต้นสามารถเพิ่มโอกาสในการรักษาหายขาดได้ กล่าวคือหากได้รับการรักษาที่เหมาะสม โอกาสรอดชีวิตที่ 5 ปีของมะเร็งเต้านมระยะที่ 1 และ 2 สูงถึง 98% และ 88% ตามลำดับ ตามแนวทางของสถาบันมะเร็งแห่งชาติแนะนำให้ตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านม ดังนี้ 1. การตรวจเต้านมด้วยตัวเอง: ควรคลำเต้านมทุกเดือนตั้งแต่อายุ 20 ปีขึ้นไป ช่วงเวลาที่เหมาะสมคือ หลังหมดประจำเดือน 2-3 วัน เนื่องจากจะคัดเต้านมน้อย 2. การตรวจเต้านมโดยแพทย์: แนะนำให้ตรวจปีละ 1 ครั้งในผู้ป่วยที่อายุ 40 ปีขึ้นไป 3. การถ่ายภาพเอ็กเรย์เต้านม (Mammography) เป็นการตรวจที่มีความไวมากกว่าการคลำ สามารถตรวจพบก้อนมะเร็งขนาดเล็กๆได้ อาจทำร่วมกับการตรวจอัลตร้าซาวด์ (ultrasonography) ในคนไข้ที่เนื้อเต้านมค่อนข้างแน่น แนะนำให้เริ่มตรวจตั้งแต่อายุ 40 ปี โดยตรวจต่อเนื่องทุก 1-2 ปี หรือถี่กว่านั้นหากตรวจพบความผิดปกติ หมายเหตุ ผู้ป่วยกลุ่มเสี่ยงมะเร็งเต้านม เช่น มีประวัติญาติสายตรงเป็นมะเร็งเต้านมหรือมะเร็งรังไข่ที่อายุน้อยกว่า 40 ปี ควรได้รับการตรวจคัดกรองมะเร็งเร็วขึ้น คือควรตรวจตั้งแต่อายุที่ญาติเป็นมะเร็งลบด้วย 5-10 ปี โดยเมื่อตรวจพบความผิดปกติจากการตรวจคัดกรอง แพทย์จะแนะนำให้ทำการตรวจชิ้นเนื้อเต้านมหรือต่อมน้ำเหลือง โดยใช้เข็มเจาะตัดเนื้อเยื่อ (core needle biopsy) หรือใช้เข็มเจาะดูดเซลล์ (Fine needle aspiration) เพื่อนำตัวอย่างเนื้อเยื่อหรือเซลล์ไปตรวจทางห้องปฏิบัติการเพิ่มเติมเพื่อหาชนิดของมะเร็งเต้านม ชนิดของมะเร็งเต้านม สามารถแบ่งมะเร็งเต้านมได้โดยใช้หลายเกณฑ์ เช่น ตามลักษณะทางพยาธิวิทยา หรือตามการแสดงออกของตัวรับที่ผิวของเซลล์มะเร็ง ซึ่งมีผลต่อการเลือกใช้ยารักษาที่แตกต่างกัน ในที่นี้จะกล่าวถึงการแบ่งชนิดตามเกณฑ์ของตัวรับที่ผิวเซลล์เป็นหลัก 1. ชนิดที่มีการสร้างตัวรับฮอร์โมนเอสโตรเจน: มักพบในผู้ป่วยสูงอายุ การตรวจพบตัวรับชนิดนี้ ทำให้การรักษาด้วยยาต้านฮอร์โมนเอสโตรเจนช่วยเพิ่มโอกาสการรอดชีวิตได้ 2. ชนิดที่มีการสร้างตัวรับเฮอร์ทู (HER-2): สัมพันธ์กับมะเร็งที่ลุกลามไว การรักษาด้วยยามุ่งเป้าชนิดต้าน HER-2 สามารถเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้ 3. ชนิดที่ไม่มีการสร้างตัวรับใดๆ: การรักษาหลักยังเป็นการใช้ยาเคมีบำบัด การรักษามะเร็งเต้านม • การผ่าตัด แบ่งออกเป็น • การผ่าตัดเต้านมทั้งข้าง (Mastectomy) • การผ่าตัดเฉพาะก้อนมะเร็ง (Lumpectomy) ในผู้ป่วยมะเร็งระยะต้น • การผ่าตัดเต้านมหร้อมกับการสร้างเต้านมใหม่ • การฉายแสง • การรักษาด้วยยา ได้แก่ • ยาเคมีบำบัด • ยามุ่งเป้า • ยาต้านฮอร์โมน • ยาภูมิคุ้มกันบำบัด โดยแพทย์อาจใช้การรักษาอย่างใดอย่างหนึ่งหรือใช้การรักษาหลายๆอย่างร่วมกัน ขึ้นอยู่กับชนิดและระยะของโรค อายุและความแข็งแรงของผู้ป่วย เป็นต้น ปรึกษาเพิ่มเติม แผนกรังสีวินิจฉัย โทร 032-328-521 - 5 ต่อ 145 แผนกศัลยกรรม โทร 032-325-521 - 5 ต่อ 163 โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ ราชบุรี

มะเร็งเต้านม ภัยเงียบที่ต้องระวัง

Shock wave กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก

Shock wave กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก ดีอย่างไร เหมาะกับใครบ้าง หลายคนคงประสบปัญหาอากาารปวดจากก้อนแข็งเกร็ง บริเวณต้นคอ บ่า ไหล่ และปวดส้นเท้าจากรองช้ำ ไปนวดแล้วก้อนแข็งนั้นก็ยังคงอยู่ ทำให้มีอาการปวดรบกวนอยู่เรื่อยๆ จากปัญหาก้อนกล้ามเนื้อนั้นเกิดจากการอักเสบเรื้อรังทำให้เกิดผังพืดที่หนาตัวขึ้น การรักษากายภาพบำบัดมีเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงในการรักษาอาการเรื้อรังนี้ คือคลื่นกระแทก (Shock wave therapy) กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก (Shock wave) เป็นการรักษาที่กระทำได้โดยแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเท่านั้น สามารถใช้เครื่อมือนี้ช่วยในการรักษากลุ่มอาการออฟฟิคซินโดรม และอาการปวดเรื้อรังต่างๆ ได้เป็นอย่างดี การรักษาด้วย เครื่องช็อคเวฟ หรือคลื่นกระแทก (Shock wave) คืออะไร หลักการทำงานของเครื่องช็อคเวฟคือ คลื่นกระแทกเกิดจากแรงอัดอากาศปริมาณสูง โดยคลื่นจะเคลื่อนตัวด้วยความเร็วเหนือเสียงทำให้เกิดพลังกดอัดที่มีลักษณะเฉพาะ เข้าไปในบริเวณที่มีก้อนกล้ามเนื้อและผังพืดที่แข็งเกร็ง กระตุ้นให้กล้ามเนื้อและผังพืดเกิดการบาดเจ็บใหม่ (Re-injury) ในบริเวณนั้น ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อและสารอาหารที่จำเป็นกับร่างกายเกิดกระบวนการซ่อมสร้างเนื้อเยื่อใหม่(Re-healing)ที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงระบบเซลล์จึงส่งผลทำให้ช่วยลดปวดได้ โดยการลดปริมาณสารสื่อประสาทที่ส่งสัญญาณปวดและกระตุ้นให้หลั่งสารลดปวดเร็วขึ้น จึงทำให้เห็นผลได้ทันทีหลังการรักษา อาการที่ควรได้รับการรักษาด้วยเครื่อง Shock wave - เส้นเอ็นอักเสบ เช่น เอ็นข้อศอกอักเสบ(Tennis elbow), เอ็นหัวไหล่อักเสบ(Shoulder tendinitis) เอ็นร้อยหวายอักเสบ เอ็นฝ่าเท้าอักเสบหรือรองช้ำ(Plantar fasciitis), ปลอกหุ้มเส้นเอ็นข้อมืออักเสบ(De-Quervain’s) เส้นเอ็นหัวไหล่อักเสบจากหินปูนเกาะ(Tendon calcification) - กล้ามเนื้ออักเสบเรื้อรัง เช่น ปวดคอเรื้อรัง ปวดบ่าเรื้อรัง ปวดหลังเรื้อรัง ออฟฟิศซินโดรม(Office syndrome) อาการปวดกล้ามเนื้อและเยื่อพังผืด( Myofascial pain syndrome) - อื่นๆ ได้แก่ พังผืดกดทับเส้นประสาทข้อมือ(Carpal tunnel syndrome) ข้อเสื่อมอักเสบ (Osteoarthritis), นิ้วล็อค(Trigger finger) ข้อไหล่ติดจากเยื่อหุ้มข้ออักเสบ(Capsulitis) ข้อดี จุดเด่น ของการรักษาด้วยคลื่นกระแทก Shock wave Shock wave จะส่งพลังงานผ่านชั้นผิวหนังลงไปถึงบริเวณเอ็นและกล้ามเนื้อได้ลึกประมาณ 3-4 เซนติเมตร เมื่อผ่านเข้าไปในเนื้อเยื่อส่งผลให้เกิดผลทางชีวภาพในเนื้อเยื่อ (Biological effects) ได้แก่ - กระตุ้นให้เกิดการสร้างหลอดเลือดใหม่ - กระตุ้นการซ่อมแซมเซลล์เนื้อเยื่อของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น - กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน และยับยั้งกระบวนการอักเสบ ส่งผลให้ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ และจุดกดเจ็บเกิดการผ่อนคลาย - กระตุ้นการไหลเวียนเลือด - ช่วยสลายหินปูนในเส้นเอ็น - เพิ่มและเร่งกระบวนการซ่อมแซมของกล้ามเนื้อและเส้นเอ็น โดยเกิดการกระตุ้นการอักเสบใหม่ในผู้ป่วยที่มีภาวะปวดเรื้อรัง ข้อห้าม ข้อควรระวังในการกายภาพด้วย Shock wave 1. ผู้ที่สงสัยว่ามีการตั้งครรภ์ 2. ไม่ควรใช้ในเด็ก 3. ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคผิวหนัง 4. ผู้ป่วยที่ผิวหนังมีบาดแผล 5. ห้ามทำในผู้ป่วยที่ใส่ peacemaker 6. ห้ามใช้ในบริเวณที่มีเส้นเลือดขอดหรือเส้นเลือดอุดตัน 7. ผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือดอุดตัน 8. ผู้ที่มีภาวะเลื่อดแข็งตัวช้า 9. ห้ามใช้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อที่ผวหนัง 10. ห้ามทำบริเวณช่องท้องหรือทรวงอก ข้อควรระวัง - ไม่ควรใช้บริเวณกล้ามเนื้อที่เป็นตำแหน่งของปอด - หลีกเลี่ยงบริเวณกล้าเนื้อ คอ หลังใบหู ผลข้างเคียง ขณะที่ทำการรักษาจะมีอาการเจ็บ ตรงตำแหน่งที่มีการอักเสบ หรือ บาดเจ็บ เพื่อให้เกิดการรักษาตัวบริเวณนั้น แต่สามารถปรับพลังงานขณะยิงให้เหมาะสมได้ ให้อาการเจ็บอยู่ในระดับที่พอทนได้ หลังรักษาเสร็จอาจจะรู้สึก ล้า ระบม ได้ปกติหากระบมมากให้ประคบเย็นบริเวณนั้น 15-20 นาที ติดต่อกัน 1-2 วัน หลังจากนั้นอาการปวดจะลดลงและได้เซลล์กล้ามเนื้อใหม่ที่สมบูรณ์ขึ้น ข้อสรุป การทำ Shock wave ช่วยรักษาอาการได้หลายอาการ และควรจะปรึกษานักกายภาพที่เชี่ยวชาญก่อนทำทุกครั้ง ใครกำลังจะเลือกทำกายภาพบําบัดรักษาออฟฟิศซินโดรม ปวดคอ บ่าไหล่ น้องสรีขอเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกดีๆที่พร้อมช่วยดูแลรักษาคุณอย่างตรงจุด โดยนักกายภาพบำบัดผู้เชี่ยวชาญ เพื่อคืนอิสระให้ทุกความเคลื่อนไหว หากสนใจสามารถติดต่อสอบถามรายละเอียดอื่นๆเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ โทร: 032-328521 - 5

Shock wave กายภาพบำบัดด้วยคลื่นกระแทก

พรบ. คืออะไร มีไว้เพื่อต่อภาษีประจำปีเท่านั้น ! หรือ ?

พรบ. คืออะไร ? มาดูคำตอบให้หายข้องใจกันเลย "พรบ." คือ การประกันภัยรถยนต์ภาคบังคับ (พรบ.คุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ) ซึ่งกฏหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำประกัน ภายใต้พระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535 ที่กฎหมายกำหนดให้ยานพาหนะทางบกทุกประเภทที่จดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบกต้องทำประกันภัยประเภทนี้ โดยให้ความคุ้มครองเฉพาะ ความเสียต่อชีวิต และรวมร่างกายของบุคคลภายนอก ซึ่งเป็นผู้ประสบอุบัติเหตุจากรถทุกชนิด โดยไม่คำนึงถึงว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากอุบัติเหตุเหล่านั้นจะเป็นผู้ที่กระทำความผิดหรือไม่ ซึ่งกฎหมายจะให้ความคุ้มครองต่อตัวคู่กรณีและผู้เอาประกันเมื่อเกิดอุบัติเหตุจากรถเท่านั้น ! ตามวงเงินความคุ้มครองที่ระบุในหน้าตรางกรมธรรม์ของรถยนต์ชนิดนั้นๆ ในรูปแบบของเงินชดเชยและค่ารักษาพยาบาลตามที่กฎหมายกำหนด ถ้าไม่ซื้อ พรบ. จะได้ไหม ? ตอบเลย...ไม่ได้ ! เพราะต้องใช้ส่วนท้ายของ พรบ. ประกอบการต่อทะเบียนรถ หรือ การต่อภาษีรถประจำปี ตามที่กฏหมายบังคับให้รถทุกคันต้องทำ โดยสามารถต่อก่อนล่วงหน้าได้ไม่เกิน 3 เดือน หากรถของเราไม่มี พรบ. มีโทษปรับไม่เกิน 10,000 บาท (เรียกว่า พรบ.-ใช้แสดงเมื่อต่อภาษีรถประจำปี) พรบ. คุ้มครองอะไรเราบ้าง ? พรบ. ให้ความคุ้มครองความเสียหายที่เกิดขึ้นกับบุคคลเท่านั้น ! พูดง่ายๆ คือ คุ้มครอง "คน" ไม่คุ้มครอง "รถ" นั่นเอง ความคุ้มครองเบื้องต้นตาม พ.ร.บ. ดังนี้ -ค่ารักษาพยาบาลกรณีบาดเจ็บและเป็นค่าปลงศพในกรณีเสียชีวิต โดยไม่ต้องรอพิสูจน์ความผิด บริษัทจะชดใช้ ให้แก่ผู้ประสบภัย/ทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัย ภายใน 7 วัน นับแต่บริษัทได้รับคำร้องขอค่าเสียหายดังกล่าวเรียกว่า “ค่าเสียหายเบื้องต้น” วงเงินคุ้มครอง ค่าเสียหายเบื้องต้น ดังนี้ -กรณีบาดเจ็บ ไม่เกิน 30,000 บาทต่อหนึ่งคน -กรณีทุพพลภาพ (อย่างหนึ่งอย่างใด) จำนวน 35,000 บาทต่อหนึ่งคน -กรณีบาดเจ็บ จะได้รับการชดใช้ค่ารักษาพยาบาลตาม ข้อ 1. และต่อมาทุพพลภาพตาม ข้อ 2. รวมกันแล้วจะไม่เกิน 65,000 บาทต่อหนึ่งคน -กรณีเสียชีวิต จำนวน 35,000 บาทต่อหนึ่งคน -กรณีเสียชีวิตภายหลังการรักษาพยาบาลและค่าใช้จ่ายอันจำเป็นเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลตามที่จ่ายจริงตามข้อ 1 รวมกันไม่เกิน 65,000 บาทต่อหนึ่งคน วงเงินคุ้มครอง ค่าสินไหมทดแทน (ส่วนเกินค่าเสียหายเบื้องต้น) ดังนี้ -กรณีบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับสูญเสียอวัยวะหรือทุพพลภาพอย่างถาวร ไม่เกิน 80,000 บาท ต่อหนึ่งคน -กรณีสุญเสียอวัยวะ 200,000-300,000 ต่อหนึ่งคน -กรณีเสียชีวิต / ทุพพลภาพถาวร 300,000 บาท ต่อหนึ่งคน -ค่าชดเชย (ผู้ป่วยใน) รายวัน วันละ 200 บาท จำนวนรวมกันไม่เกิน 20 วัน เป็นค่าเสียหายที่เพิ่มขึ้น นอกเหนือจากความคุ้มครองที่กล่าวมาแล้ว กรณีรถตั้งแต่ 2 คัน ขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหาย ต้องทำอย่างไร ? -กรณีรถตั้งแต่ 2 คันขึ้นไปก่อให้เกิดความเสียหาย (เฉี่ยวชนกัน) เป็นเหตุให้ผู้ซึ่งอยู่ในรถไม่ว่าจะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารก็ตาม หากได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต ให้บริษัทที่รับประกันภัยรถแต่ละคันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยซึ่งอยู่ในรถคันที่บริษัทรับประกันภัยไว้ แต่ถ้าผู้ประสบภัยเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้อยู่ในรถคันใดคันหนึ่ง ให้บริษัทร่วมกันจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยโดยเฉลี่ยจ่ายในอัตราส่วนที่เท่ากัน ระยะเวลาในการขอรับสิทธิ ฯ ผู้ประสบภัยต้องร้องขอรับค่าเสียหายเบื้องต้น ภายใน 180 วันนับแต่วันที่มีความเสียหายเกิดขึ้น วิธีการเคลม พร้อมหลักฐานดังนี้ -กรณีบาดเจ็บ 1.1 ใบเสร็จรับเงินจากโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาล หรือหลักฐานการแจ้งหนี้เกี่ยวกับการรักษาพยาบาล 1.2 สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการเป็นผู้ออกให ้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่าผู้ที่มีชื่อในหลักฐานนั้นเป็นผู้ประสบภัย -กรณีทุพพลภาพ นอกจากต้องยื่นหลักฐานตาม ข้อ 1.1 และ 1.2 แล้ว ให้ยื่นใบรับรองแพทย์ หรือความเห็นแพทย์ หรือหลักฐานอื่นใดที่ระบุว่าเป็นผู้ประสบภัยซึ่งทุพพลภาพ พร้อมทั้งสำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน หรือหลักฐานอื่นที่แสดงว่าผู้นั้นได้รับความเสียหายจากการประสบภัยจากรถเพิ่มเติมด้วย -กรณีเสียชีวิต 2.1 สำเนามรณบัตร 2.2 สำเนาบันทึกประจำวันของพนักงานสอบสวน 2.3 สำเนาบัตรประจำตัว หรือสำเนาใบสำคัญประจำตัวคนต่างด้าว หรือสำเนาหนังสือเดินทาง หรือหลักฐานอื่นใดที่ทางราชการเป็นผู้ออกให้ที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า ผู้ที่มีชื่อในหลักฐานนั้นเป็นผู้ประสบภัย ***กองทุนทดแทนผู้ประสบภัย จะไม่รับผิดชอบ 1. รถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้ประสบภัยมิได้จัดทำประกันภัยตามที่กฎหมายกำหนดไว้ และเจ้าของรถไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้น (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 30,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท ) 2. รถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายมิได้อยู่ในความครอบครองของเจ้าของรถในขณะเกิดเหตุ เพราะถูกยักยอก ฉ้อโกง กรรโชก ลักทรัพย์ ชิงทรัพย์ หรือปล้นทรัพย์ และได้มีการร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนไว้แล้ว 3. รถนั้นไม่มีผู้แสดงตนเป็นเจ้าของรถและมิได้จัดให้มีการประกันความเสียหายตามที่กฎหมายกำหนดไว้ 4. รถนั้นมีผู้ขับหลบหนีไปหรือไม่อาจทราบได้ว่าความเสียหายเกิดจากรถคันใด 5. บริษัทไม่จ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยหรือจ่ายค่าเสียหายเบื้องต้นให้แก่ผู้ประสบภัยไม่ครบจำนวน 6. รถคันที่ก่อให้เกิดความเสียหายเป็นรถที่ได้รับการยกเว้นตามกฎหมาย ถ้ารถไม่ทำประกันภัยไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย กฎหมายกำหนดให้เจ้าของรถมีหน้าที่ต้องทำประกันภัยตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535 เมื่อเจ้าของรถฝ่าฝืนไม่ทำประกันภัยแล้วรถคันดังกล่าวไปก่อให้เกิดความเสียหายกับผู้ประสบภัย เจ้าของรถจึงมีหน้าที่ต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายนั้น -ถ้าผู้ประสบภัยได้รับบาดเจ็บเจ้าของรถต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลหรือถ้าเสียชีวิตต้องรับผิดชอบค่าปลงศพ อย่างน้อยต้องไม่ต่ำกว่าจำนวนที่กฎหมายกำหนดไว้ (กรณีบาดเจ็บเท่าที่รักษาจริงจะไม่เกิน 30,000 บาท หากเสียชีวิต 35,000 บาท ) หากน้อยกว่านี้ผู้ประสบภัยหรือทายาทโดยธรรมของผู้ประสบภัยยังคงมาขอรับส่วนที่ยังขาดอยู่ได้จากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัย เมื่อกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยจ่ายไปแล้ว กฎหมายกำหนดให้นายทะเบียนตามพระราชบัญญัติคุ้มครองผู้ประสบภัยจากรถ พศ. 2535 มีหน้าที่เรียกเงินตามจำนวนที่ได้จ่ายไปคืนจากเจ้าของรถรวมทั้งเงินเพิ่มในอัตราร้อยละยี่สิบของจำนวนค่าเสียหายเบื้องต้นที่จ่ายจากกองทุนทดแทนผู้ประสบภัยเพื่อเข้าสมทบอีกต่างหากภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับคำสั่งจากนายทะเบียน ***รู้ทั้งคุณและโทษแล้ว อย่าลืม ! รถทุกคันต้องทำ พรบ. นะครับ*** กรณีติดต่อฉุกเฉิน โทร: 065-541-7995 แผนกห้องฉุกเฉิน โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ ที่มาบทความ/รายละเอียดเพิ่มเติมที่ คปภ. https://www.oic.or.th

พรบ. คืออะไร มีไว้เพื่อต่อภาษีประจำปีเท่านั้น ! หรือ ?

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่ ถือเป็นภัยเงียบที่ไม่แสดงอาการ ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับทุกวัย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวัยทำงาน โดยอาการเตือนที่มักปรากฏให้เห็นของผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เช่น อุจจาระมีเลือดปน น้ำหนักลด ลำไส้อักเสบเรื้อรัง เป็นต้น ผู้ป่วยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ สามารถพบได้ในอายุ 50 ปีขึ้นไป โดยส่วนมากมักมีอายุระหว่าง 60-65 ปี ซึ่งกว่าผู้ป่วยส่วนใหญ่จะทราบว่าตนเองป่วยเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็มักพบในระยะที่เป็นมากแล้ว ซึ่งทำให้มีโอกาสเสี่ยงเสียชีวิตสูง ดังนั้น การตรวจคัดกรองเพื่อป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือมาพบแพทย์ทันทีที่เริ่มมีอาการผิดปกติเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ปัจจัยเสี่ยงโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ปัจจุบันยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่แน่ชัด แต่พบว่าอาจมีปัจจัยมาจากอาหารและสิ่งแวดล้อม โดยการรับประทานอาหารที่ให้พลังงาน ไขมันและน้ำตาลสูง ผู้ที่มีดัชนีมวลกายเกินมาตรฐาน หรือโรคอ้วน เป็นปัจจัยสำคัญต่อการเกิดมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ยังพบปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ ผู้ที่มีอายุเกิน 50 ปี มีประวัติบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่มากกว่า 2 คนขึ้นไป เคยมีติ่งเนื้อในลำไส้ใหญ่ เคยเป็นโรคลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง และการสูบบุหรี่ อาการ มะเร็งลำไส้ใหญ่ หากคุณมีอาการเหล่านี้ คุณอาจกำลังเสี่ยงมะเร็งลำไส้ใหญ่สังเกตอาการของตัวเองด่วน หากมีอาการ… • ท้องอืดเรื้อรัง ท้องอืดไม่ทราบสาเหตุ • ท้องผูกสลับท้องเสีย • อุจจาระมีเลือดเจือปน • รู้สึกถ่ายไม่สุด • น้ำหนักลดผิดปกติ อ่อนเพลีย • คลำเจอก้อนในท้อง • มีอาการโลหิตจาง โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคที่เกิดขึ้นได้กับทุกวัยโดยเฉพาะคนวัยทำงาน ดังนั้น เราสามารถหลีกเลี่ยงการเกิดโรคนี้ได้โดยการปรับพฤติกรรมของตนเอง • งดอาหารไขมันสูง อาหารปิ้งย่าง • รับประทานอาหารที่มีกากใยมากๆ • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ • ตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ด้วยการส่องกล้อง • ตรวจสุขภาพประจำปี • ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ • ไม่ควรอั้นอุจจาระ เมื่อปวดควรขับถ่ายทันที ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โทร : 032-328-521 - 5

โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่

โรคอ้วนในเด็ก

โรคอ้วน คือภาวะที่ร่างกายมีไขมันสะสมเกินปกติจนทำให้เกิดผลเสียต่อสุขภาพ ก่อให้เกิดปัญหาทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ที่ส่งผลกระทบต่อทั้งเด็กและครอบครัว สาเหตุ • ปัจจัยด้านพันธุกรรม เช่น บิดามารดาอ้วน มารดาเป็นเบาหวานขณะตั้งครรภ์ ทารกแรกเกิดน้ำหนักตัวมาก โรคต่อมไร้ท่อ โรคทางพันธุกรรม • พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง • พฤติกรรมการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ไม่ค่อยออกกำลังกาย การวินิจฉัย • การวัดน้ำหนักตามเกณฑ์ส่วนสูง แบ่งตามอายุและเพศ มีค่าสูงมากกว่า 3 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน • การวัดดัชนีมวลกาย (น้ำหนักเทียบกับส่วนสูง) มีค่ามากกว่า 2 เท่าของค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ภาวะแทรกซ้อนของโรคอ้วนในเด็ก • ระบบหายใจ เช่น ภาวะทางเดินหายใจอุดกั้น นอนกรน โรคภูมิแพ้ • ระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง • ระบบต่อมไร้ท่อ เช่น โรคเบาหวาน กลุ่มอาการเมตาบอลิก และเสี่ยงต่อการเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย • ระบบทางเดินอาหารและตับ เช่น ภาวะกรดไหลย้อน ภาวะไขมันสะสมในตับ โรคนิ่วในถุงน้ำดี • ระบบกล้ามเนื้อและกระดูก เช่น ขาโก่ง โรคกระดูกหัวสะโพกเลื่อน กระดูกหักง่าย • ความผิดปกติของผิวหนัง เช่น มีผื่นสีน้ำตาลหนาบริเวณคอ ข้อพับ รักแร้ ขาหนีบ รอยแตกที่หน้าท้อง ผื่นแดงบริเวณข้อพับที่เกิดจากการเสียดสี • สภาพจิตใจ เช่น ภาวะถูกล้อเลียน ซึมเศร้า ขาดความเชื่อมั่น แยกตัวจากสังคม การรักษา • หลีกเลี่ยงอาหารที่มีพลังงานสูงเช่น แป้ง น้ำตาล ไขมัน ส่งเสริมการรับประทานอาหารที่มีกากใยสูง • ส่งเสริมกิจกรรมที่ทำให้เด็กได้มีการเคลื่อนไหวและออกกำลังกาย • ตรวจวินิจฉัยและรักษาภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นในเด็กที่เป็นโรคอ้วน ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ ราชบุรี โทร : 032-328-521 - 5

โรคอ้วนในเด็ก

ภาวะกรดยูริคในเลือดสูงและเกาต์

จากการศึกษาติดตามผู้ที่มีภาวะกรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลา 15 ปี พบว่าประมาณครึ่งหนึ่งมีอาการของเกาต์ในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง ภาวะกรดยูริคในเลือดสูงเพียงอย่างเดียวจึงไม่ได้เท่ากับการวินิจฉัยว่าเป็นเกาต์ โดยทั่วไปภาวะกรดยูริคในเลือดสูงโดยไม่มีอาการมักไม่ต้องรับประทานยา แต่ควรหาสาเหตุและแก้ไขสาเหตุร่วมกับปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ในกรณีที่มีข้อบ่งชี้ในการรับประทานยาเพื่อลดกรดยูริคในเลือด ยาที่มักจะใช้เป็นอันดับแรกคือ Allopurinol ซึ่งมีโอกาสแพ้ได้สูงในคนไทย (ประมาณ 1 ใน 7 คน) ในผู้ป่วยที่จำเป็นต้องรับประทานยาดังกล่าวแนะนำให้ตรวจหาการแพ้ยาก่อนเริ่มยา สามารถสอบถามและตรวจได้ที่โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ ราชบุรี

ภาวะกรดยูริคในเลือดสูงและเกาต์

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย คือ ภาวะที่เด็กมีการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายจากวัยเด็กสู่วัยผู้ใหญ่เร็วกว่าปกติ มีผลทำให้ตัวสูงเร็วกว่าเพื่อนในช่วงแรกแต่จะหยุดสูงเร็วและเป็นผู้ใหญ่ตัวเตี้ยในที่สุด นอกจากนี้ยังมีผลทางจิตใจพฤติกรรมอารมณ์และเสี่ยงต่อการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ภาวะนี้พบในเด็กหญิงมากว่าเด็กชาย 10 เท่า โดยเพศหญิง 90 % มักไม่มีสาเหตุแต่สัมพันธ์กับน้ำหนักตัวที่มาก ส่วนน้อยที่เกิดจากพยาธิสภาพในสมองหรือเนื้องอกรังไข่ ในเพศชายพบว่าส่วนใหญ่มีสาเหตุจากพยาธิสภาพในสมองหรือต่อมหมวกไตหรือเนื้องอกที่หลั่งฮอร์โมนเพศ และอีกสาเหตุคือการได้รับฮอร์โมนเพศปนเปื้อนจากสิ่งแวดล้อมทั้งในเด็กหญิงและเด็กชาย ลักษณะเบื้องต้นของเด็กที่มีภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย • เด็กหญิง มีเต้านมขึ้นก่อนอายุ 8 ปี หรือมีประจำเดือนก่อนอายุ 9 ปีครึ่ง • เด็กชาย มีอัณฑะขนาดใหญ่ขึ้นก่อนอายุ 9 ปี • มีขนขึ้นบริเวณอวัยวะเพศ รักแร้ มีสิว มีกลิ่นตัว เพศชายมีเสียงแตกร่วมด้วย • มีส่วนสูงเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ขั้นตอนการวินิจฉัย • เอ็กซเรย์ดูอายุของกระดูก • ตรวจเลือดวัดระดับฮอร์โมนในร่างกาย • การตรวจอัลตราซาวด์สำหรับเด็กหญิงเพื่อวัดขนาดและดูลักษณะมดลูกและรังไข่ • การตรวจคลื่นสนามแม่เหล็ก MRI เพื่อหาความผิดปกติในสมอง การรักษา • ถ้ามีสาเหตุ รักษาตามสาเหตุ • ถ้าไม่มีสาเหตุ แพทย์อาจพิจารณาให้การรักษาโดยใช้ยาฉีดยับยั้งการหลั่งฮอร์โมนเพศ เพื่อยับยั้งการเข้าสู่วัยรุ่น ชะลอความล้ำหน้าของอายุกระดูก เพื่อให้มีการเจริญเติบโตตามวัย ผู้ปกครองควรหมั่นสังเกตการเจริญเติบโต และความเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด หากพบความผิดปกติควรรีบพบกุมารแพทย์ เพื่อรับการตรวจรักษาและแก้ไขได้ทันท่วงที เพื่อให้บุตรหลานเติบโตได้อย่างปกติสุขเหมาะสมกับวัย ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์ ราชบุรี โทร : 032-328-521 - 5

ภาวะเป็นหนุ่มสาวก่อนวัย

โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์

ฝากข้อความติดต่อกลับ

โรงพยาบาลมหาชัยพร้อมแพทย์

77/4 ถนนคฑาธร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000

โทร: 032-328-521 (ถึง) 5
(ฉุกเฉิน) 065-541-7995

ที่อยู่ติดต่อ

77/4 ถนนคฑาธร ตำบลหน้าเมือง อำเภอเมือง จังหวัดราชบุรี 70000

ฝากข้อความติดต่อกลับ

หมายเหตุ เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับท่าน ภายใน 48 ชั่วโมง.

Copyrights © 2024 All Rights Reserved. Mahachai Prompathya Hospital Version 1.0. Designed by WEB-BEE-DEV. +92,275 Times.